“เกียวโต” เมืองงามในฝัน อัญมณีแห่งญี่ปุ่น

“เกียวโต” เมืองงามในฝัน อัญมณีแห่งญี่ปุ่น

ท่องเที่ยวญี่ปุ่น 4 ตุลาคม 2556

Views : 3112

ประตูโทริอิสีแดงเรียงรายมากมายที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าชื่อดังแห่งเกียวโต

 

 

 หลังเปิดฟรีวีซ่า ญี่ปุ่น ประเทศที่เนื้อหอมสำหรับคนไทยอยู่แล้ว ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นเป็นประเทศท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของคนไทยอย่างไม่ยากเย็น
       
       ด้วยความที่ญี่ปุ่นยุคนี้ไปง่ายและไม่ต้องเสียค่าวีซ่า ทำให้ “ตะลอนเที่ยว” ไม่รีรอหาวันเวลาเหมาะๆ แล้วเดินทางเหินฟ้าสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยไปกับสายการบิน“ทรานส์ เอเชีย” ในเส้นทางใหม่ “สุวรรณภูมิ-โอซากา” 
 
บรรยากาศบนเครื่องของสายการบินทรานส์ เอเชีย
       ทรานส์ เอเชีย (Trans Asia) เป็นสายการบินจากไต้หวันที่เพิ่งมาบุกตลาดการบินบ้านเราได้ไม่นาน แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการให้บริการ ที่นั่งสะดวกสบาย กอปรกับการเดินหน้าขยายเส้นทางใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้นี่ถือเป็นสายการบินที่น่าจับตาไม่น้อย
       
       เกียวโต อัญมณีแห่งญี่ปุ่นตะวันตก 
       
       หลังลัดฟ้าจากเมืองไทยมาถึงยังเมืองโอซากาที่สนามบินนานาชาติคันไซ “ตะลอนเที่ยว” กับคณะออกเดินทางต่อไปยังเมือง "เกียวโต" เมืองที่เปรียบเสมือนอัญมณีแห่งญี่ปุ่นตะวันตกอันเป็นที่รักจากทั่วโลกซึ่งหลายคนใฝ่ฝันอยากมาเยือน
 
ตัวเมืองเกียวโต มองเห็นเกียวโตทาวเวอร์โดดเด่นแต่ไกล
       เกียวโต เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมานานกว่า 1,000 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 794 ก่อนจะย้ายไปยังเอโดะหรือโตเกียวปัจจุบันในปี 1869
       
       มนต์เสน่ห์เกียวโตมีปรากฏให้เห็นผ่านวิถีและภูมิทัศน์ที่บ่งบอกความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมซึ่งมีอุดมอยู่ทั่วไป ผ่านผู้คน วิถีวัฒนธรรม อาหารการกิน อาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรม พระราชวัง โดยเฉพาะวัดและศาลเจ้าที่มีอยู่ทุกมุมเมือง
 
มรดกโลกวัดคิโยมิสึ วัดชื่อดังแห่งเกียวโต
       วัดคิโยมิสึ มรดกโลกกับงานไม้สุดอลังการ
       
       สำหรับหนึ่งในวัดอันโด่งดังประจำเมืองเกียวโตที่ไม่ควรพลาดการไปเยือนด้วยประการทั้งปวงก็คือ “วัดคิโยมิสึ”(Kiyomizu Temple)
       
       วัดแห่งนี้ถือเป็นวัดในดวงใจของใครหลายๆคน โดยจากจุดจอดรถ ระหว่างทางก่อนถึงตัววัดเราจะต้องเดินผ่าน “ถนนสายกาน้ำชา” ซึ่งในอดีตถนนแห่งนี้เต็มด้วยร้านเครื่องปั้นดินเผา ส่วนปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นถนนขายของฝาก ขนม ตุ๊กตา สินค้าโอทอป และของที่ระลึกต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยวในบรรยากาศของบ้านเรือนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอันสุดแสนคลาสสิก
 
ถนนสายกาน้ำชากับบ้านเรือนแบบดั้งเดิมอันสุดคลาสสิก
       นอกจากนี้บ่อยครั้งบนถนนสายนี้ยังมีสีสันพิเศษให้ทัศนากับเหล่าสาวๆ ชาวญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ชุดประจำชาติ ด้วยการสวม“ชุดกิโมโน”สีสันสวยงามมาเดินอวดโฉม เล่นเอาหนุ่มๆ หลายคนเห็นแล้วอดใจไม่ได้ต้องไปขอถ่ายรูปกับพวกเธอกันคนละหลายช็อต
       
       พ้นจากถนนสายน้ำชาที่วันนี้กลายเป็นถนนดูดเงินนักท่องเที่ยวก็จะถึงยังปากทางเข้าวัดคิโยมิสึที่มีซุ้มประตูสไตล์ญี่ปุ่นสีแดงตั้งตระหง่าน
 
สาวใสใส่กิโมโนมาเที่ยววัดคิโยมิสึ
       วัดคิโยมิสึ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 788 ชื่อวัดแปลว่าน้ำบริสุทธิ์ หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า “วัดน้ำใส” เนื่องเพราะมีน้ำตกโอโตวาที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านเนินเขามายังบริเวณวัด นั่นจึงทำให้แต่ละวันมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติไปรอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทางวัดต่อท่อลงมาเป็น 3 สายกันเป็นจำนวนมาก
 
สายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีนักท่องเที่ยวมาดื่มกินอธิษฐานกันไม่ได้ขาด
       น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ใครจะดื่มสายไหนก็ได้ แต่เชื่อกันว่าถ้าจะให้สมหวังต้องอธิษฐานก่อนดื่ม ถ้าไม่อธิษฐานก็เป็นการดื่มแก้กระหายชื่นใจไปอีกแบบ
       
       วัดคิโยมิสึตั้งอยู่บนไหล่เขา มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายในวัดร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ มีสิ่งก่อสร้างสำคัญเป็นไฮไลต์คือ “วิหารหลัก” เป็นวิหารไม้ขนาดใหญ่ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นคารพนับถือกันมากเพราะเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ที่วิหารหลักยังมีระเบียงใหญ่กว้างขวางสร้างยื่นออกไปจากภูเขาสูงกว่า 12 เมตร ตัวระเบียงรองรับด้วยเสาไม้ต้นใหญ่ๆ 139 ต้น และคานไม้ยักษ์อีกมากมาย
 
บนระเบียงกว้างใหญ่ของวัดคือจุดถ่ายรูปและจุดชมวิวที่สำคัญ
       ด้วยความยิ่งใหญ่อลังการ ผนวกกับฝีมือการก่อสร้างงานไม้แบบโบราณอันน่าทึ่งไม่ใช่ตะปูสักตัว ทำให้วัดคิโยมิสึได้รับการได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1994 อีกทั้งยังถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความมหัศจรรย์ของฝีมือมนุษย์ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่อีกด้วย
       
       ณ บริเวณระเบียงอันอลังการนี้ หากมองไปทางฝั่งเมืองจะเห็นเกียวโต ทาวเวอร์ตั้งตระหง่าน ส่วนหากมองมาทางฝั่งวัดจะเห็นองค์เจดีย์สีแดงตั้งเด่นขึ้นมาในแมกไม้อยู่ไกลๆ แต่เราสามารถเดินไปชมได้ ส่วนถ้ามองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นหลังคาของอาคารต่างๆ และมุมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนมารอต่อคิวกันเพียบเลย
 
ภายในวิหารหลักวัดคิโยมิสึ
       นอกจากตัววิหารหลักแล้วที่วัดแห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจได้แก่
       
       ศาลเจ้าจิชู (Jishu) อันเป็นที่สิงสถิตของเทพแห่งความรักที่หนุ่มสาวมักมาขอพร ซึ่งที่บริเวณศาลเจ้ายังมี “ก้อนหินแห่งความรัก” ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณศาลเจ้าจิชูเป็นก้อนหิน 2 ก้อนตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 18 เมตร เชื่อกันว่าถ้าใครหลับตาแล้วสามารถเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ก็จะสมหวัง ซึ่งก็มีคนมาลองกันไม่น้อย การเดินหลับตาพิสูจน์รักนี่ทำให้ใครหลายๆ คนเรียกหิน 2 ก้อนนี้ว่า “หินตาบอด” เพราะต้องหลับตาเดิน
       
       ขณะที่ “ตะลอนเที่ยว” เมื่อเห็นคนมา(ลอง)เดินหลับตาพิสูจน์รักที่นี่แล้วก็อดนึกถึงคำกล่าวที่ว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” ไม่ได้
 
อาคารสีสันสดใสที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
       ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ บูชาเทพเจ้าจิ้งจอก
       
       จากวัดเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสกับเสน่ห์สีสันแห่งศรัทธาของศาลเจ้าที่มีอยู่ทั่วเกียวโตกันบ้าง สำหรับหนึ่งในศาลเจ้าที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของเมืองก็คือ “ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
       
       ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็นศาลเจ้าที่ชาวนาสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 711 เพื่อถวายแด่เทพเจ้าจิ้งจอก ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นทูตสวรรค์ผู้คอยส่งสารของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ดังนั้นภายในศาลเจ้าแห่งนี้จึงมากไปด้วยรูปปั้นของเทพเจ้าจิ้งจอก ให้คนได้กราบไหว้กัน นอกจากนี้ที่นี่ยังสร้างเพื่อให้เป็นที่สิงสถิตของแม่โพสพที่ช่วยให้เกิดผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์
 
พบรูปปั้นเทพเจ้าจิ้งจอกได้ทั่วไปในเจ้าฟูชิมิอินาริ
       ก่อนจะเข้าถึงยังตัวอาคารศาลเจ้าหลัก เราต้องเดินผ่านเสาประตูโทริอิที่ปากทางเข้า ซึ่งเป็นดังการอุ่นเครื่อง เพราะเมื่อเข้าไปที่บริเวณด้านหลังอาคารศาลเจ้าหลักจะเป็นไฮไลต์สถานที่แห่งนี้กับเสาประตูโทริอิสีแดงที่สร้างเรียงรายต่อๆ กันไปเป็นจำนวนมาก
 
ทางเดินเข้า(ซ้าย)-ออก(ขวา) ไฮไลต์เสาประตูโทริอิจำนวนมาก
       เสาประตูสีแดงเหล่านี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ที่ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อต่อศาลเจ้าแห่งนี้ว่า หากต้องการประสบผลสำเร็จทางธุรกิจ ให้มากราบสักการะศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ และสร้างเสาประตูถวาย ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้มีมากน้อยแค่ไหน ก็ให้ดูจากเสาประตูโทริอินับพันต้น ที่สร้างทอดยาวไปตามเส้นทางขึ้นไหล่เขายาวถึง 4 กิโลเมตร
 
ทางเดินในเสาประตูโทริอิเรียงรายนับพันต้น
       5 วัดคัดสรร 
       
       ในเกียวโตยังมีมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอีกมากมายให้สัมผัส ซึ่ง “ตะลอนเที่ยว“ ขอคัดสรร 5 วัดอันโดดเด่นที่ไม่ควรพลาดมาบอกเล่าสู่กันฟังดังนี้
       
       วัดเรียวอันจิ (Ryoanji Temple) เป็นวัดที่สงบ เรียบง่าย ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น แท่ทว่าวัดนี้กลับมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยสวนหินแบบเซนที่แฝงปรัชญาให้ผู้พบเห็นได้ศึกษาตีความเพื่อเข้าถึงหลักธรรมกัน
 
วัดโทจิกับเจดีย์ไม้สัญลักษณ์แห่งเกียวโต
       วัดโทจิ(Toji Temple) เป็นวัดเก่าแก่ สร้างขึ้นในปี 796 ภายในมีวิหารใหญ่ประดิษฐานพระพุทธรูปไม้ขนาดใหญ่และพระพุทธรูปโบราณมากมาย ส่วนสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของวัดก็คือเจดีย์ไม้ 5 ชั้น สัญลักษณ์เมืองเกียวโตซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
       
       วัดเท็นริวจิ(Tenryuji Temple) เป็นวัดนิกายเซนแห่งแรกของญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1994 วัดเท็นริวจิมีความสวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของเกียวโต ภายในวัดมีสวนโซเง็นซิ สวนแบบญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่างดงามดุจภาพวาด
 
วัดคิงคะคุจิที่โดดเด่นไปด้วยศาลาทองสะท้อนเงาน้ำ
       วัดคิงคะคุจิ (Kinkakuji Temple) เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของโชกุนอะชิกะงะ โยชิมิตสึ ในปี 1397 ก่อนถูกปรับเปลี่ยนโดยบุตรชายของท่านให้เป็นวัดพุทธนิกายเซน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1994 ภายในวัดแห่งนี้มีศาลาทองเป็นไฮไลต์ โดยภายนอกศาลา(ยกเว้นชั้นล่าง) ถูกตกแต่งด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์เหลืองอร่าม ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นสะท้อนเงาสระน้ำอย่างสวยงาม
       
       วัดกิงคะคุจิ (Ginkakuji) เป็นวัดคู่กับวัดคิงคะคุจิเพราะที่นี่มีศาลาเงินที่หุมด้วยแผนเงินทั้งหลังซึ่งสร้างให้สอดรับกับศาลาทอง อีกทั้งภายในวัดยังมีสวนหิน และมีถนนสายปรัชญายาวกว่า 2 กิโลเมตรที่สร้างเชื่อมต่อระหว่างวัดกิงคะคุจิกับวัดนันเซ็นจิ
 
ตัวเมืองเกียวโตยามราตรี
       นอกจากวัดคัดสรรทั้ง 5 แล้ว เกียวโตยังมีสิ่งน่าสนใจชวนเที่ยวชม อาทิ ปราสาทนิโจ พระราชวังเกียวโต เกียวโตทาวเวอร์ สะพานโทะเง็ตสึ ย่านกิอง ย่านบันเทิงยามราตรีที่ขึ้นชื่อเรื่องเกอิชาและไมโกะ(เกอิชาฝึกหัด) มานับตั้งแต่อดีต เป็นต้น
       
       นี่ก็คือเสน่ห์เพียงบางส่วนของเมืองเกียวโต อดีตเมืองหลวงเก่าอันสุดคลาสสิกที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายชนิดที่หากจะเที่ยวกันแบบละเอียดเจาะลึกคงต้องใช้เวลากันเป็นเดือน
       
       สำหรับทริปนี้แม้เราจะใช้เวลาที่เกียวโตไม่นานเพียงไม่กี่วัน แต่เสน่ห์ของเมืองนี้ยังคงตราตรึงใจ อีกทั้งยังได้สัมผัสกับสุภาพน่ารักของชาวเมือง ความสะอาดสะอ้าน ความมีระเบียบวินัย ความมีสปิริต และความมีจิตสาธารณะ ซึ่ง “ตะลอนเที่ยว” เอง ก็ได้แต่ฝันว่า สักวันหนึ่งเมืองไทยจะมีสิ่งดีๆ ที่กล่าวมาเหมือนที่ญี่ปุ่นบ้าง 
 
       ****************************************
       
       เกียวโต เป็น 1 ใน 4 เมืองสำคัญในภูมิภาคคันไซของประเทศญี่ปุ่น ที่นอกจากเกียวโตแล้วก็ยังมีนาระหรือนารา-เมืองหลวงแห่งแรก โกเบ (จังหวัดเฮียวโงะ)-เมืองท่าสำคัญ และโอซากา-เมืองศูนย์กลางการค้า ซึ่งล่าสุดสายการบิน “ทรานส์ เอเชีย”(TransAsia) ได้เปิดเส้นทางใหม่ “สุวรรณภูมิ-โอซากา” (สนามบินคันไซ) ด้วยเครื่อง Airbus 330 จำนวน 300 ที่นั่ง พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ 
       
       สำหรับการเดินทางจากเมืองไทยสู่โอซากาของสายการบินทรานส์ เอเชีย จะต้องไปต่อเครื่องที่ไต้หวัน โดยมีเที่ยวบินออกจากกรุงเทพฯ ไปยังไทเป ไต้หวัน ทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน จากนั้นจึงต่อเครื่องเพื่อเดินทางต่อไปสู่โอซากา หรือเมืองอื่นๆ ตามที่สายการบินทรานส์ เอเชียเปิดเส้นทาง อาทิ โตเกียว, ซัปโปโร, โฮกินาวา, นาริตะ หรือที่ประเกศเกาหลี เช่น ปูซาน เชจู เป็นต้น 
       
       ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0-2308-2701-2,02718-1839 ต่อ 2
 

       *************************************************

 

 

ที่มา: Manager-online

病気 [ฺByouki]

ความหมาย : ป่วย,ไม่สบาย